วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2556

Asian Development Bank (ADB)

Asian Development Bank (ADB)

หรือ

ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย


              ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank) เรียกย่อๆ ว่า เอดีบี (ADB) เป็นสถาบันการเงินที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อสนับสนุนระบบเศรษฐกิจ และการพัฒนาของประเทศแถบเอเชียและแปซิฟิก ผ่านการให้เงินกู้ และความสนับสนุนด้านเทคนิค ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2509 โดยความช่วยเหลือของสหประชาชาติ มีประเทศเข้าร่วมก่อตั้ง 32 ประเทศ โดยที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง จนถึงปัจจุบัน มีประเทศสมาชิกทั้งสิ้น 67 ประเทศ เป็น 48 ประเทศในภูมิภาค และ 19 ประเทศจากพื้นที่อื่น

              ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชียมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ในแต่ละปีได้ให้ความช่วยเหลือด้านเงินกู้เป็นเงินประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแต่ละโครงการมีมูลค่าประมาณโครงการละ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ใช้เงินทุนจากการลงทุนพันธบัตรในตลาดการเงินต่างๆ

              โครงการเงินกู้ ADB หรือ โครงการเงินกู้ ธนาคารพัฒนาเอเชีย เป็นเงินกู้เพื่อใช้ในการปรับโครงสร้างด้านการเงิน และ มีไว้สำหรับโครงการ ด้านสาธารณูปโภค การศึกษาและการฝึกอบรม โครงการด้านสิ่งแวดล้อม และเป็นธนาคารที่ให้เงินกู้แก่ประเทศในทวีปเอเชีย




รูปภาพ ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย ในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์


วัตถุประสงค์หลักของธนาคารพัฒนาเอเชีย 
             
             คือมุ่งให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศสมาชิก บรรเทาปัญหาความยากจน พัฒนาภาคสังคมและส่งเสริมธรรมาภิบาล สำหรับกรอบการดำเนินการในระยะยาว (ปี 2544 - 2559)ธนาคารพัฒนาเอเชียได้วางนโยบายหลักเกี่ยวกับการพัฒนาภาคเอกชน ความร่วมมือในระดับภูมิภาค และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนโดยธนาคารพัฒนาเอเชียจะให้ความช่วยเหลือในรูปแบบเงินกู้ ค้ำประกันเงินกู้ และความช่วยเหลือวิชาการ

เงินทุนของธนาคารพัฒนาเอเชีย

            ปี 2545 ธนาคารพัฒนาเอเชียมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 3,465,669 หุ้น เป็นเงิน 47,596.80 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นทุนที่ชำระแล้วจำนวน 3,347.66 ล้านเหรียญสหรัฐ  โดยประเทศไทยถือหุ้นในธนาคารพัฒนาเอเชียถือหุ้นในธนาคารจำนวน 48174 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 1.382 % ของจำนวนหุ้นทั้งหมดและประเทศไทยเป็นผู้ถือหุ้นสูงเป็นอันดับที่ 17 ของประเทศสมาชิกทั้งหมด หรืออันดับที่ 11 ของประเทศผู้ถือหุ้นในภูมิภาค มีมูลค่าทุนทั้งหมด 652.56 ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าหุ้นที่ชำระแล้ว 45.70 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ ประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐฯ เป็นผู้ถือหุ้นสูงสุดในสัดส่วนเท่ากันคือร้อยละ 13.092 ของหุ้นทั้งหมด


เงินทุนของธนาคารพัฒนาเอเชีย ได้มาจาก

(1)     เงินทุนสามัญ ประกอบด้วย
- เงินค่าหุ้นจากประเทศสมาชิก                   
- เงินที่ธนาคารพัฒนาเอเชียกู้ยืมหรือระดมทุนจากตลาดเงินทุนระหว่างประเทศ                   
- เงินรายได้สุทธิจากการดำเนินงานของธนาคาร  

(2)  เงินกองทุนพิเศษ ประกอบด้วย เงินจาก                    
- กองทุนพัฒนาเอเชียซึ่งให้เงินกู้ลักษณะผ่อนปรนสูงแก่ประเทศกำลังพัฒนาที่ยากจน                   
- กองทุนพิเศษเพื่อช่วยเหลือด้านวิชาการและกองทุนพิเศษของประเทศญี่ปุ่น เพื่อสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการแบบให้เปล่า


สำนักงานผู้แทนของธนาคารพัฒนาเอเชีย  

            ปัจจุบันธนาคารพัฒนาเอเชียได้จัดตั้งสำนักงานผู้แทนกระจายไปตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก จำนวน 16 แห่ง ได้แก่ อัฟกานิสถาน  บังคลาเทศ  กัมพูชา  จีน  อินเดีย  อินโดนีเซีย  คาซัคสถาน  คีร์กิช  ลาว  มองโกเลีย  เนปาล  ปากีสถาน  ศรีลังกา  ทากิชสถาน  และเวียดนาม
และเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2543 คณะกรรมการบริหารธนาคารพัฒนาเอเชียได้อนุมัติในหลักการให้จัดตั้งสำนักงานผู้แทนของธนาคารพัฒนาเอเชียในประเทศไทย

ความสัมพันธ์ระหว่างธนาคารพัฒนาเอเชียกับประเทศไทย
    
             1. ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีสมาชิกในความตกลงว่าด้วยการสถาปนาธนาคารพัฒนาเอเชีย เมื่อปี 2509 และมีการออกพระราชบัญญัติให้อำนาจปฏิบัติการเกี่ยวกับธนาคารพัฒนาเอเชีย พ.ศ.2509 เพื่อให้อำนาจรัฐบาลปฏิบัติการเกี่ยวกับธนาคารพัฒนาเอเชียตามข้อผูกผัน ซึ่งประเทศภาคีสมาชิกจะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว เพื่อให้รัฐบาลมีอำนาจถือประโยชน์จากการเป็นภาคีสมาชิกด้วย               

             2. ธนาคารพัฒนาเอเชียได้เริ่มให้ความช่วยเหลือกับประเทศไทยตั้งแต่ปี 2511 ในรูปต่างๆ ได้แก่ เงินกู้สำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจต่างๆ เช่น ด้านสาธารณูปโภค พลังงาน คมนาคม การเกษตร เป็นต้น ความช่วยเหลือทางวิชาการแบบให้เปล่า และเงินกู้ที่ให้กับภาคเอกชน               
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2548  ธนาคารพัฒนาเอเชียได้ให้เงินกู้และความช่วยเหลือกับประเทศไทยเป็นเงิน 5.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ และมีโครงการเงินกู้จาก ADB ประมาณ 80 โครงการ


ความช่วยเหลืออื่นๆ ที่ธนาคารพัฒนาเอเชียให้แก่ประเทศไทย

             1. ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2542 ประเทศไทยไม่ได้กู้ยืมเงินจากธนาคารพัฒนาเอเชีย อย่างไรก็ตาม ธนาคารพัฒนาเอเชียได้ให้การสนับสนุนการพัฒนาประเทศไทยและความร่วมมือในระดับภูมิภาค(ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2543 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2546) ธนาคารพัฒนาเอเชียให้ความช่วยเหลือทางวิชาการกับประเทศไทยทั้งสิ้น 16 โครงการ รวมเงินทั้งสิ้น 6.2 ล้านเหรียญสหรัฐ              

              2. การสนับสนุนโครงการความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยรัฐบาลไทยได้รับความช่วยเหลือทางวิชาการจาก ADB ในการทำการศึกษาความเป็นไปได้ในระยะเริ่มต้น และการดำเนินการส่วนใหญ่ตามโครงการดังกล่าวจะเป็นความร่วมมือของประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงในการสร้างระบบคมนาคมเชื่อมโยงประเทศในอนุภูมิภาค มีโครงการที่ดำเนินการแล้วทั้งสิ้น 78 โครงการวงเงิน 887 ล้านเหรียญสหรัฐ และเงินช่วยเหลือทางวิชาการ 63 โครงการ วงเงิน 42.4 ล้านเหรียญสหรัฐ     
          
              3. การให้ความช่วยเหลือผ่านกรมวิเทศสหการ เพื่อเสริมสมรรถนะของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สถาบันนานาชาติเพื่อการค้าและการพัฒนาสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียและสถาบันลุ่มแม่น้ำโขงที่จังหวัดขอนแก่น     
 



  
  Chair of ADB Chidambaram Palaniappan (indian)           


แหล่งข้อมูล:

http://www.adb.org/
http://th.wikipedia.org/wiki/
http://www.gotoknow.org/posts/38881
http://www.9bkk.com/article/education/adb.html
http://www.mcot.net/site/content?id=50a9c512150ba0b172000073


จัดทำโดย
นาย ภาณุวิทย์ ปุญญฤทธิ์
ม.5 ห้อง 947 เลขที่ 26
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กรุงเทพมหานคร

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

อาชีพในฝันของผม:-)

เมื่อตอนผมเป็นเด็ก คุณครูมักจะถามว่าเราอยากเป็นอะไรในอนาคต และคำถามนี้ก็ยังคงเป็นคำถามสุดฮิตที่ผมมักถูกถามตลอดในปัจจุบัน ผมก็จะตอบว่าไม่รู้ทุกครั้ง เพราะถ้าพูดเรื่องนี้ที ผมคงต้องพูดนานแน่ๆ :D

ตอนเป็นเด็ก เท่าที่ผมจำความได้ ผมเคยฝันอยากทำงานหลายอย่างมาก เช่น เป็นคุณครู คุณหมอ จิตรกร เชฟ หรือแม้กระทั่งนักบินอวกาศ และยังมีอีกเป็นสิบอาชีพที่ผมรู้สึกชอบ ผมรู้สึกว่าตอนเด็กๆ สามารถตอบได้อย่างเต็มปากเลยว่าเราอยากเป็นอะไร แต่พอโตขึ้น ความรู้สึกกลับต่างออกไป อาจเป็นเพราะเราได้รู้สภาพความเป็นจริงมากขึ้น รู้ว่าเราถนัดอะไร ไม่ถนัดอะไร ถ้าเลือกอาชีพนี้คงไม่รอดแน่ๆ และเพราะความคิดนี้เลยทำให้ผมยังไม่มั่นใจตัวเองว่าความจริงแล้วอยากทำอาชีพอะไรกันแน่

แต่ถ้าให้ผมเลือกสักอาชีพ หนึ่งในนั้นก็คงเป็น หมอฟัน เพราะ ผมชอบที่จะพบเจอผู้คน อยากเป็นคนที่คอยช่วยเหลือคนอื่นให้มีความสุข อยากให้คนอื่นรู้สึกดีกับเรา บางคนอาจจะเกลียดหมอฟัน เพราะทำให้เจ็บฟัน ปวดฟัน แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่หมอฟันทำ ก็ทำให้ผู้ป่วยได้รับผลดีขึ้น ยิ่งถ้าเราทำให้ผู้ป่วยที่กลัวหมอฟัน ให้หายกลัวแล้วมีความสุขที่ได้ทำฟันกับเราได้ ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่น่ายินดีมาก คิดแล้วก็อยากจะมีความรู้สึกแบบนั้นบ้าง แล้วตอนนี้ เราก็เรียนสายวิทย์-คณิตด้วย ทำให้เรามีโอกาสที่จะเป็นได้ แต่ผมก็คิดว่าการจะสอบเข้าคณะทันตแพทย์นั้นไม่ใช่ง่ายๆเลย เพราะฉะนั้นผมจะต้องพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะทำให้ความฝันนี้สำเร็จ ผมเลยรู้สึกท้อบ้าง ทำให้ผมไม่มั่นใจว่าความจริงแล้วเรายังอยากจะเป็นอาชีพนี้อยู่หรือเปล่า



<3 <3 <3 <3 <3 <3

แรงบันดาลใจที่ทำให้ผมอยากเป็นหมอฟัน ก็ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ผมอยากจะเปลี่ยนความคิดของคนที่มีอคติต่อการทำฟัน ให้มีความสุขทุกครั้งเมื่อเขามาทำฟันกับเรา ความรู้สึกแบบนี้ทำให้ผมอยากเป็นหมอฟันมาก และอีกอย่างคือ ผมมีคุณป้าคนหนึ่ง เป็นหมอฟันที่คอยจัดฟันให้ผม ผมรู้สึกว่าป้าของผมเป็นคนที่น่ารักมาก และทุกคนก็จะคอยเคารพนับถือ และชมคุณป้าว่าน่ารักเสมอ และคุณป้าของผมก็ทำงานไม่หนักมาก แล้วก็มีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ เพราะเงินเหลือเฟือ ผมจึงอยากเป็นหมอฟัน จะได้ช่วยเหลือคน ทำให้คนคนนั้นเคารพและรักเรา และส่วนตัวผมเอง อยากมีเงินเยอะๆไว้พาครอบครัวไปเที่ยวบ่อยๆ <3

ผมเป็นคนชอบดูหนังมาก วันไหนที่มีเวลาว่าง ผมก็จะดูหนัง ดูซีรี่ย์ต่างๆ ผมเป็นคนชอบการ์ตูนมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี เสริมสร้างจินตนาการ และยังทำให้เด็กๆมีความคิดดีๆ ต่อโลกใบนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะมีผลทำให้สังคมเต็มไปด้วยความสดใส ผมจึงมีอีกอาชีพที่อยากจะทำ คือผมอยากทำงานอยู่เบื้องหลังของการทำภาพยนตร์เรื่องต่างๆ เพราะฉะนั้นคณะนิเทศน์ศาสตร์จึงเป็นอีกตัวเลือกที่ผมอยากจะเข้า ด้วยเหตุผลหลายประการคือ ผมเป็นคนร่าเริงมาก และค่อนข้างเข้ากับคนอื่นง่าย พูดเก่งพอสมควร เพื่อนๆมักจะบอกว่าผมเข้ากับคณะนี้ และอีกอย่างคือ ผมไม่เก่งคณิตศาสตร์เอาซะเลย ทำให้อาชีพหมอฟันเป็นสิ่งที่ยากเข้าไปอีก ผมสอบได้โครงการแลกเปลี่ยน AFS ประเทศเยอรมนี เป็นตัวจริง ผมจึงรู้สึกว่าผมมีความสามารถด้านภาษาพอสมควร ผมกำลังจะเดินทางไปเยอรมนีในอีก 4 เดือนถัดจากนี้ โดยผมคิดว่า จะเอาเวลา ที่ผมมีที่ประเทศเยอรมนี คิดทบทวนว่าเราชอบสิ่งไหน และต้องการทำอาชีพอะไร แต่ถึงแม้ ถ้าชีวิตนี้ผมจะไม่ได้ทำงานในอาชีพที่หวัง แต่ถ้าผมมีโอกาสใดๆในชีวิต ผมจะใช้โอกาสนั้นให้ดีที่สุด และไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการเป็น "คนดี" อีกแล้วครับ